เนื้อหาในบทความ
ขั้นตอนที่ 1: สร้างบัญชีขั้นตอนที่ 2: สร้างโปรไฟล์ของคุณขั้นตอนที่ 3: เริ่มงานใหม่ขั้นตอนที่ 4: เขียนภาพรวมของงาน(Gig Overview)ขั้นตอนที่ 5: ตั้งราคางานของคุณขั้นตอนที่ 6: เขียนคำอธิบายและคำถามที่พบบ่อย (FAQ) ของงานของคุณขั้นตอนที่ 7: สร้างข้อกำหนดงานของคุณขั้นตอนที่ 8: เพิ่มคลังผลงานไปยังงานของคุณขั้นตอนที่ 9: ประกาศงานของคุณใช้ประโยชน์จากงานของคุณให้มากที่สุด
สิ่งสำคัญ! ก่อนที่คุณจะสร้างงานแรกของคุณ (ตามที่เราอธิบายไว้ที่นี่) คุณควรทราบวิธีที่ผู้ซื้อเห็นงานต่าง ๆ เพื่อให้คุณจะเข้าใจวิธีการทำให้งานของคุณโดดเด่น! ข้ามไปด้านล่างเพื่อดูว่าเราหมายถึงอะไร
หากคุณตัดสินใจได้แล้วก็ดีเลย ลองมาดูรายละเอียดขั้นตอนการสร้างงานบน Fiverr กัน แน่นอนมันง่าย ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่ผมจะสอนให้คุณสร้างงานที่ดี ซึ่งจะใช้เวลาเพียงไม่นานคุณก็จะได้รับการติดต่อจากลูกค้ารายแรก ๆ แล้ว
ขั้นตอนที่ 1: สร้างบัญชี
ก่อนที่คุณจะสามารถโพสต์งานแรกได้ คุณจะต้องสร้างบัญชีก่อน คุณสามารถลงทะเบียนโดยใช้บัญชี Facebook บัญชี Google หรืออีเมล เมื่อคุณเลือกว่าคุณต้องการสร้างบัญชีอย่างไรแล้ว คุณจะต้องเลือกชื่อผู้ใช้และสร้างรหัสผ่านหรือกรอกอีเมล เมื่อสร้างบัญชีของคุณแล้ว ให้ไปที่กล่องจดหมายอีเมลของคุณ เปิดใช้งานบัญชี และกรอกข้อมูลโปรไฟล์ของคุณขั้นตอนที่ 2: สร้างโปรไฟล์ของคุณ
สิ่งแรกที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่จะตรวจสอบ – ก่อนที่จะจ่ายเงินซื้องานของคุณ – ก็คือโปรไฟล์ของคุณ โดย Fiverr จะขอให้คุณใส่รูปภาพและข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่อาจเป็นลูกค้าของคุณได้รู้จักคุณมากขึ้นเคล็ดลับจากมืออาชีพ
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณสร้างโปรไฟล์ที่ตอบโจทย์ในแต่ละด้าน:- รูปภาพโปรไฟล์: ใส่รูปใบหน้าจริงของคุณที่ดูเป็นมืออาชีพ ซึ่งจะช่วยให้แน่ใจว่าลูกค้าจะเชื่อว่าคุณเป็นคนจริง ๆ และทำให้โปรไฟล์ของคุณดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น
- คำอธิบาย: ใช้ส่วนนี้เพื่อแนะนำตัวคุณกับลูกค้า โดยคุณสามารถรวมความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ หรือสิ่งอื่น ๆ ที่คุณคิดว่าสำคัญ – โดยเขียนให้ตรงประเด็นที่สุด!
- ภาษา: บอกให้คนอื่น ๆ ทราบว่าคุณพูดภาษาอะไรได้บ้างและมีความถนัดระดับไหน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากหากงานของคุณเกี่ยวกับทักษะด้านการเขียนหรือการแปล
- การทดสอบที่เคยทำ: โปรไฟล์ส่วนนี้จะแสดงแบบทดสอบที่คุณเคยทำบน Fiverr โดยแบบทดสอบต่าง ๆ จะช่วยยืนยันทักษะของคุณและสามารถช่วยเพิ่มความเชื่อถือจากลูกค้าได้ แต่ควรระวัง เพราะคุณสามารถทำแบบทดสอบได้สองครั้งในสามเดือน อย่างไรก็ตาม Fiverr มีตัวเลือกให้คุณซ่อนคะแนนของคุณหากคุณทำได้ไม่ดี
- ทักษะ: ในส่วนนี้ คุณควรพูดถึงทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานที่คุณจะสร้าง โดยรวมถึงความสามารถที่คุณสั่งสมจากงานที่เคยทำในอดีต งานอดิเรก หรือประสบการณ์อื่น ๆ ในชีวิต Fiverr ให้คุณใส่ได้สิบข้อเท่านั้น ดังนั้นคุณควรเลือกให้ดี
- การศึกษา: ใส่มหาวิทยาลัยที่คุณเคยศึกษาและวุฒิบัตรหรือปริญญาของคุณ
- ประกาศนียบัตร: ใส่ประกาศนียบัตรต่าง ๆ ที่จะทำให้คุณโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ
ขั้นตอนที่ 3: เริ่มงานใหม่
เมื่อคุณสร้างโปรไฟล์ของคุณเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเริ่มสร้างงานแรกของคุณได้เลย! โดยไปที่เมนู “Selling” ที่อยู่ด้านบนของหน้าจอ และที่เมนูแบบ drop-down เลือก “Gigs” และจากตรงนี้ คุณเพียงต้องคลิกปุ่ม “Create New Gig” เพื่อเริ่มกระบวนการขั้นตอนที่ 4: เขียนภาพรวมของงาน(Gig Overview)
ส่วนแรกที่คุณจะต้องกรอกคือภาพรวมของงานหรือ Gig Overview โดยคุณจะต้องกรอกข้อมูลในช่องว่างสามช่อง:- ชื่องานของคุณ
- หมวดหมู่
- Tag ที่เกี่ยวข้องสำหรับการค้นหา
เคล็ดลับจากมืออาชีพ
อย่ามองข้ามกระบวนการนี้ โปรดคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้เพื่อเขียนภาพรวมที่น่าสนใจซึ่งจะดึงดูดลูกค้าได้:- ชื่อ Gig: คุณสามารถใส่ได้ 80 อักขระ ดังนั้นควรเขียนให้ดีและทำให้มันชัดเจนและกระชับ คุณต้องการให้ลูกค้าของคุณทราบว่าคุณให้บริการอะไร และควรเลือกชื่อที่ทำให้คุณโดดเด่นจากคนอื่น ๆ โดยเป็นชื่อที่มีเอกลักษณ์
- หมวดหมู่: Fiverr จะแนะนำหมวดหมูต่าง ๆ ให้คุณโดยอัตโนมัติโดยดูจากชื่อ และโดยทั่วไปแล้วก็จะมีหนึ่งหมวดหมู่ที่ตรงกับบริการของคุณ อย่างไรก็ตาม หากหมวดหมู่ที่ Fiverr แนะนำไม่เหมาะกับบริการของคุณ คุณสามารถเลือกจากตัวเลือกมากมายในเมนูแบบ dropdown หาหมวดหมู่และหมวดหมู่ย่อยที่เหมาะกับงานของคุณ
- Tags สำหรับค้นหา: ใส่คำที่คุณคิดว่าลูกค้าจะใช้เมื่อค้นหาบริการของคุณ คุณสามารถใส่ได้ 5 คำ ดังนั้นโปรดเลือกอย่างระมัดระวัง คำเหล่านี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณให้บริการอะไร การค้นหาข้อมูลเพื่อดูว่าคำไหนเป็นคำที่ใช้บ่อยที่สุดในการค้นหาบริการในหมวดหมู่ของคุณอาจจะช่วยคุณได้มาก
ขั้นตอนที่ 5: ตั้งราคางานของคุณ
การตั้งราคางานได้พัฒนาขึ้นเล็กน้อยนับตั้งแต่การก่อตั้ง Fiverr โดยในปัจจุบันแพลตฟอร์มนี้ให้ผู้ขายเลือกให้บริการแพ็คเกจได้สามแบบ:- Basic
- Standard
- Premium
เคล็ดลับจากมืออาชีพ
นี่คือสิ่งสำคัญที่คุณควรทราบเกี่ยวกับการกรอกข้อมูลเกี่ยวกับขอบเขตและค่าบริการ:- จำนวนแพ็คเกจ: คุณไม่จำเป็นต้องเลือกเพ็คเกจทั้งหมดทั้งสามแบบ อย่างไรก็ตามลูกค้าส่วนใหญ่ชอบตัวเลือกแบบพรีเมียม ดังนั้นคุณควรเลือกให้บริการนี้หากเป็นไปได้ นอกจากนี้แล้ว ตามที่ Fiverr บอก ผู้ให้บริการที่มีแพ็คเกจงานให้เลือกทั้งสามแบบได้รับค่าบริการมากกว่าสูงสุดถึง 64% ต่อออเดอร์
- ตั้งชื่อแพ็คเกจของคุณ: เลือกชื่อที่เตะตาสำหรับแพ็คเกจแต่ละแบบของคุณและดูให้แน่ใจว่าแต่ละแพ็คเกจมีชื่อที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
- คำอธิบายแพ็คเกจ: เขียนคำอธิบายสั้น ๆ ว่าแต่ละแพ็คเกจมีอะไรบ้างและทำไมคุณถึงรวมมันเข้าไปในแพ็คเกจนั้น คุณสามารถเขียนได้ 100 อักขระ ดังนั้นอาจจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการเขียนทุกอย่างที่คุณต้องการจะบอก โปรดแน่ใจว่าข้อเสนอของคุณชัดเจนสำหรับลูกค้า
- ระยะเวลาที่ใช้: คุณใช้เวลานานแค่ไหนการทำงานให้เสร็จสิ้น โดยแต่ละแพ็คเกจอาจจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับขอบเขตของงาน
- การแก้ไข: จำนวนครั้งที่คุณจะแก้ไขงานของคุณหากลูกค้าร้องขอ โดยปกติแพ็คเกจแบบ Premium จะมีการเพิ่มเติมจำนวนครั้งในการแก้ไข
- ราคา: แต่ละแพ็คเกจสามารถมีราคาระหว่าง $5 ถึง $995 ดอลล่าร์สหรัฐฯ แพ็คเกจแบบ Basic ของคุณควรจะมีราคาถูกที่สุดและแบบ Premium ควรมีราคาแพงที่สุดเสมอ โปรดจำไว้ว่าคุณสามารถเปลี่ยนราคาได้ในภายหลัง ดังนั้นในตอนเริ่มต้นควรตั้งราคาที่ไม่แพงเกินไปเพื่อสร้างรีวิว
- My Gig Extras: ที่นี่คุณสามารถคิดค่าบริการเพิ่มเติมสำหรับบริการเสริมต่าง ๆ ที่คุณต้องการเพิ่มเข้าไปยังแพ็คเกจของคุณ มีรายการบริการเสริมที่พบบ่อยที่าคุณสามารถเลือกได้จากเมนู เช่น บริการส่งงานด่วนพิเศษ และการแก้ไขเพิ่มเติม หากมีบริการเสริมที่คุณต้องการให้บริการแต่ไม่มีอยู่ในตัวเลือก Fiverr ทำให้คุณสามารถเพิ่มบริการเสริมได้ด้วยตัวเอง เพียงคลิกที่ “+ Add Gig Extra” ที่ด้านล่างของ “My Gig Extras” และกรอกชื่อ คำอธิบาย และราคา
- การจัดส่ง: กรอกค่าบริการจัดส่งหากคุณต้องส่งผลิตภัณฑ์ไปให้ลูกค้าและต้องการคิดค่าบริการ คุณจะได้รับตัวเลือกให้เลือกได้หลายราคาโดยขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้ง
ขั้นตอนที่ 6: เขียนคำอธิบายและคำถามที่พบบ่อย (FAQ) ของงานของคุณ
นอกจากชื่อแล้ว คำอธิบายเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดของการสร้างงานที่จะทำให้คุณหาลูกค้าได้ ในส่วนนี้คุณควรบอกรายละเอียดเกี่ยวกับบริการของคุณโดยละเอียด ดังนั้นจึงมีการกำหนดจำนวนอักขระขั้นต่ำ 120 อักขระ และสูงสุด 1,200 อักขระสำหรับคำอธิบาย อย่าลืมกรอกรายละเอียดที่สำคัญ เนื่องจากลูกค้าควรจะได้ทราบคำอธิบายที่ถูกต้องและละเอียดเพียงพอสำหรับการตัดสินใจว่าบริการของคุณตรงกับความต้องการของพวกเขาหรือไม่ คำอธิบายที่คลุมเครืออาจจะทำให้ลูกค้าไม่พอใจและให้ฟีดแบ็คที่ไม่ดี ซึ่งอาจจะทำลายโอกาสในอนาคตของคุณบนแพลตฟอร์มนี้ เมื่อคุณเขียนคำอธิบายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเขียนคำถามที่พบบ่อย (FAQ) ในส่วนนี้ คุณควรเขียนคำถามและคำตอบที่คุณคาดหวังว่าคุณจะได้รับเกี่ยวกับงานของคุณ โดยอาจจะต้องมีการแก้ไขในภายหลัง เนื่องจากคุณอาจจะไม่ทราบว่าคุณจะได้รับคำถามอะไรบ้างก่อนที่คุณจะให้บริการงานของคุณไปได้สักพัก คลิกที่ปุ่ม “+ Add FAQ” เพื่อเขียน FAQ กี่ข้อก็ได้ตามที่คุณต้องการขั้นตอนที่ 7: สร้างข้อกำหนดงานของคุณ
ที่นี่คุณสามารถตั้งข้อกำหนดที่ลูกค้าของคุณจำเป็นจะต้องมีเพื่อให้คุณทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ คุณสามารถถามหาข้อมูลเหล่านี้ได้สามวิธี คือ:- ข้อความแบบอิสระ: สำหรับข้อความแบบอิสระ คุณสามารถเขียนข้อกำหนดของคุณและลูกค้าจะต้องตอบด้วยข้อความ (เช่น สัดส่วน น้ำหนัก หัวข้อเรียงความ)
- ตัวเลือกแบบปรนัย: ตัวเลือกนี้ให้คุณถามคำถามและกำหนดคำตอบเป็นตัวเลือกซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้ คุณจะต้องใส่คำตอบอย่างน้อยสองคำตอบและสามารถเพิ่มคำตอบได้ด้วยการคลิกที่ปุ่ม “+ Add Optional Answer”
- แนบไฟล์: หากคุณจำเป็นจะต้องใช้ไฟล์จากลูกค้าในการทำงานให้สำเร็จ เลือกตัวเลือกนี้ คุณจะต้องกำหนดว่าไฟล์นี้ควรประกอบไปด้วยอะไรบ้างในหน้าต่างคำอธิบาย และลูกค้าของคุณก็จะได้รับการถามให้อัปโหลดไฟล์นี้เมื่อพวกเขาเลือกซื้อบริการของคุณ
ขั้นตอนที่ 8: เพิ่มคลังผลงานไปยังงานของคุณ
คลังผลงานบนงานของคุณสามารถประกอบไปด้วยรูปภาพ วิดีโอ PDF หรือทั้งหมดนี้ก็ได้ ไฟล์ที่คุณเลือกใส่บนคลังผลงานนี้ควรจะมีความเกี่ยวข้องกับงานที่คุณให้บริการเคล็ดลับจากมืออาชีพ
พิจารณาเคล็ดลับต่อไปนี้เมื่อเลือกประเภทไฟล์ต่าง ๆ สำหรับคลังผลงานของคุณ:- รูปภาพงาน: บริการส่วนใหญ่จะมีรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับบริการนั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นบริการออกแบบกราฟิกหรือการออกแบบเว็บ ถึงแม้ว่างานของคุณจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้ถ่ายภาพได้ง่าย ๆ เช่น งานเขียน แต่คุณก็ควรจะใส่รูปอยู่ดี เพียงเลือกรูปที่เกี่ยวข้องกับงานโดยไม่จำเป็นต้องเป็นตัวอย่างงานของคุณก็ได้ Fiverr ให้คุณใส่รูปภาพบนคลังผลงานได้สูงสุดสามรูป โดยคุณสามารถลากไปวางได้เลย โปรดแน่ใจว่าคุณไม่ได้ลอกรูปภาพของคุณอื่นมา มิฉะนั้นงานของคุณอาจจะไม่ได้รับการอนุมัติ
- วิดีโองาน: นอกจากงานในหมวดหมู่แอนิเมชันและวิดีโอ การใส่วิดีโองานเป็นทางเลือกที่ไม่ได้บังคับแม้ว่าจะมีประโยชน์ก็ตาม ตามที่ Fiverr บอก งานที่มีวิดีโอจะมีโอกาสได้รับคำสั่งซื้อมากขึ้นสูงสุดถึง 200% และจะมี engagement rate ของผู้ใช้งานสูงขึ้น 40% วิดีโอต้องมีความยาวไม่เกิน 75 วินาทีและจะต้องไม่มีข้อมูลการติดต่อส่วนตัว
- PDF งาน: ไฟล์ PDF เป็นรูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับการอธิบายเพิ่มเติม โดยทั่วไปตัวเลือกนี้สงวนไว้สำหรับนักเขียนและคนอื่น ๆ ที่มีตัวอย่างงานที่ควรอยู่ในรูปแบบข้อความบนไฟล์ PDF โดย Fiverr อนุญาตให้แนบไฟล์ PDF ได้สองไฟล์ต่อคลังผลงาน
ขั้นตอนที่ 9: ประกาศงานของคุณ
นี่คือขั้นตอนสุดท้าย – และเป็นขั้นตอนที่รวดเร็วที่สุด – ในการสร้างงานของคุณ เพียงคลิกที่ปุ่ม “Publish Gig” และคนอื่น ๆ ก็จะสามารถเห็นงานของคุณได้ เมื่อคุณประกาศงานของคุณแล้ว คุณสามารถโปรโมตงานของคุณบนโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น Facebook หรือ Twitter เพียงคลิกที่ลิงก์บนเว็บไซต์ ตามที่ Fiverr บอก งานที่ได้รับการโปรโมตบนโซเชียลมีเดียนั้นมีโอกาสขายได้สูงกว่าถึงสามเท่า ดังนั้นจึงเป็นตัวเลือกนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีใช้ประโยชน์จากงานของคุณให้มากที่สุด
ตอนนี้หลังจากที่คุณสร้างงานแรกบน Fiverr แล้ว ต่อไปเป็นขั้นตอนที่ยาก ซึ่งก็คือ การหาลูกค้า ลูกค้าส่วนใหญ่บนแพลตฟอร์มนี้ (หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ) ต้องการดูรีวิวจากลูกค้ารายอื่น ๆ เพื่อที่พวกเขาจะดูคุณภาพงานของคุณได้ เมื่อคุณเพิ่งเริมต้น คุณไม่มีอะไรจะแสดงนอกจากตัวอย่างงานไม่กี่ชิ้นในคลังผลงานของคุณ ดังนั้นตอนที่เพิ่งเริ่มต้นจึงควรตั้งราคาไม่แพงเพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มราคาของคุณเมื่อคุณเริ่มตั้งตัวได้แล้ว นอกจากนี้คุณควรจะดู search engine optimization (SEO) สำหรับงานของคุณ เนื่องจากนี่เป็นอีกวิธีที่ดีในการหาลูกค้า กลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จอีกอย่างหนึ่งคือการใช้โปรไฟล์ของคุณเพื่อสร้างแบรนด์ของคุณเองเพื่อช่วยให้คุณกลายเป็นที่จดจำสำหรับผู้ที่เลื่อนดู Fiverr อย่างสม่ำเสมอวิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างงานแรกก็คือ ซื้องานบน Fiverr โดยมีค่าใช้จ่ายเพียง $5 และคุณสามารถซื้อสิ่งที่คุณต้องการได้ โดย – งานรูปภาพ Fiverr เพื่อให้ดูเป็นมืออาชีพ หรือการหาคนมา ตรวจทานเนื้อหางานของคุณเป็นสองตัวเลือกที่ดีที่สุด นอกจากการดูเป็นมืออาชีพและหาลูกค้าจาก Fiverr ได้มากขึ้นแล้ว เมื่อคุณซื้องานบน Fiverr คุณจะเข้าใจกระบวนการ 100% ว่า – คนซื้อจะดูที่รูปภาพ thumbnail อย่างไรบ้างเพื่อเลือกว่าจะซื้องานไหน มีการแสดงราคาอย่างไร และกระบวนการสั่งซื้อเป็นอย่างไร นี่จะช่วยการันตีว่างานบน Fiverr ของคุณจะดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะคุณจะทำให้งานของคุณน่าดึงดูดสำหรับลูกค้าและทำให้กระบวนการซื้องานของคุณง่ายเมื่อเสร็จแล้วก็เริ่มงานแรกของคุณเลย!